คู่มือเจาะลึกเกี่ยวกับ Psychographic Segmentation

Written on :
April 11, 2025
Milieu Insight Insight สงกรานต์ 2025

การเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริงคือหัวใจสำคัญของการทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จ และนั่นหมายถึงการมองให้ลึกไปกว่าข้อมูลพื้นฐานอย่างอายุ ที่อยู่ หรือรายได้ เพราะการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้จริง ๆ จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่ผลักดันการตัดสินใจของพวกเขา

โดยการวิเคราะห์ความสนใจ ค่านิยม ไลฟ์สไตล์ และบุคลิกภาพของผู้คน ธุรกิจจะสามารถวางกลยุทธ์การตลาดที่สื่อสารตรงกับสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำนิยามของ Psychographic Segmentation

Psychographic Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามจิตวิทยา คือแนวทางการตลาดที่ใช้ลักษณะทางจิตใจ ค่านิยม ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ และแรงจูงใจ มาเป็นเกณฑ์ในการจำแนกกลุ่มลูกค้า แทนที่จะพึ่งพาแค่ข้อมูลพื้นฐานอย่างอายุ รายได้ หรือที่อยู่อาศัยแบบที่ทำกันใน Demographic Segmentation

ด้วยการใช้ข้อมูลจากการแบ่งกลุ่มทางจิตวิทยา นักการตลาดสามารถเข้าใจผู้บริโภคเป้าหมายในเชิงลึกมากขึ้น และออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับความเชื่อและพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ตรงใจ และเชื่อมโยงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

แม้ทั้งสองวิธีจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่การ ผสานการใช้งานร่วมกัน จะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจลูกค้าอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิง “คิดอย่างไร” และ “ทำอะไร” นำไปสู่แคมเปญที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น.

ความแตกต่างระหว่าง Psychographic Segmentation และ Behavioural Segmentation

แม้จะดูคล้ายกัน แต่การแบ่งกลุ่มด้วยจิตวิทยา (Psychographic) และพฤติกรรม (Behavioural) มีจุดเน้นที่ต่างกัน ดังนี้

  • Psychographic segmentation มุ่งวิเคราะห์ลักษณะภายในของผู้บริโภค เช่น บุคลิก ทัศนคติ ค่านิยม และไลฟ์สไตล์
  • Behavioural segmentation เน้นจำแนกกลุ่มจากพฤติกรรมที่จับต้องได้ เช่น ประวัติการซื้อ ความถี่ในการใช้งานสินค้า หรือการมีส่วนร่วมกับแบรนด์
  • Psychographic segmentation ช่วย คาดการณ์พฤติกรรมในอนาคต โดยอิงจากแรงจูงใจและความเชื่อส่วนบุคคล
  • Behavioural segmentation วิเคราะห์จาก สิ่งที่ผู้บริโภคทำไปแล้ว เช่น การซื้อหรือการตอบสนองต่อแคมเปญที่ผ่านมา

ทำไมจึงควรใช้ Psychographic Segmentation ในงานวิจัยตลาด

การเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของลูกค้า คือกุญแจสำคัญของการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่ง Psychographic Segmentation ช่วยให้แบรนด์มองลึกเกินกว่าข้อมูลพื้นฐาน และเข้าถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของผู้บริโภค

เหตุผลที่ควรใช้ Psychographic Segmentation ในการวิจัยตลาดนั้น มีดังนี้

  • เข้าใจลูกค้าได้ลึกขึ้น: วิเคราะห์ลักษณะทางจิตวิทยาเพื่อให้แบรนด์สื่อสารตรงกับความคิดและความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย
  • เพิ่มประสิทธิภาพการตลาด: ปรับข้อความหรือคอนเทนต์ให้เข้ากับแต่ละกลุ่ม psychographic เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • ช่วยพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์: เข้าใจไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้า ทำให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริงได้มากขึ้น
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า: ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ช่วยส่งเสริมความจงรักภักดีและทำให้เกิดการบอกต่อแบรนด์

การใช้ข้อมูลเชิงจิตวิทยานี้ จะช่วยให้แบรนด์ ส่งสารให้ตรงจุดมากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

ข้อดีและข้อจำกัด

แม้ Psychographic Segmentation จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรคำนึงถึงด้วยเช่นกัน

ข้อดี

  • สามารถสร้างข้อความการตลาดที่เข้าถึงอารมณ์และค่านิยมของลูกค้าได้โดยตรง
  • แคมเปญที่ปรับตามบุคลิกกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้การสื่อสารมีพลังมากยิ่งขึ้น
  • แบรนด์สามารถโดดเด่นในตลาดด้วยการตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

ข้อจำกัด

  • การเก็บข้อมูล psychographic อาจใช้เวลาและต้นทุนสูง โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธี focus group, แบบสอบถาม หรือ digital analytics
  • ทัศนคติของลูกค้าเปลี่ยนแปลงได้ จึงต้องอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ
  • เนื่องจากข้อมูลนี้มักเป็นเชิงคุณภาพ จึงมีความเสี่ยงต่อการตีความผิด หรือสร้างสมมติฐานที่ไม่แม่นยำ

ประเภทของการแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)

ในการทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจสามารถใช้ตัวแปรด้านจิตวิทยาหลากหลายประเภทเพื่อแบ่งกลุ่มผู้บริโภคและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งประเภทหลัก ๆ ได้แก่:

  • บุคลิกภาพ (Personality): วิเคราะห์ลักษณะนิสัย เช่น การเป็นคนเปิดเผยหรือเก็บตัว เพื่อจับคู่ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับบุคลิกของลูกค้าแต่ละประเภท
  • ทัศนคติและค่านิยม (Attitudes and Values): การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริโภคเชื่อหรือให้ความสำคัญ ช่วยให้แบรนด์สร้างกลยุทธ์การตลาดที่เชื่อมโยงทางอารมณ์
  • กิจกรรม ความสนใจ และความคิดเห็น (AIO – Activities, Interests, and Opinions): ศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความชอบ และความคิดเห็น เพื่อเข้าใจแนวโน้มการเลือกสินค้าและแบรนด์
  • สถานะทางสังคม (Social Status): ผู้บริโภคจากแต่ละชนชั้นสังคมมีรูปแบบการซื้อที่แตกต่างกัน การเข้าใจสิ่งนี้ช่วยให้แบรนด์ปรับสื่อสารให้ตรงกลุ่ม
  • ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle): วิเคราะห์วิธีใช้เวลาและการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมการซื้อ

การใช้ตัวแปรเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบแคมเปญที่ตรงใจ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มได้อย่างแท้จริง

ข้อจำกัดของการแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)

แม้ว่าการแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยาจะเป็นเครื่องมือวิจัยตลาดที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ธุรกิจควรตระหนักเมื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาด เพื่อให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและการสื่อสารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด

รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ค่านิยม ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเทรนด์ สถานการณ์เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป ลูกค้าที่เคยรู้สึกว่าแบรนด์ตรงใจ อาจไม่รู้สึกแบบนั้นอีกในอนาคต ธุรกิจจึงควรอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ ผ่านการสัมภาษณ์ โฟกัสกรุ๊ป หรือการเก็บข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย

ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนสูงกว่าการแบ่งกลุ่มแบบอื่น

ต่างจากการแบ่งกลุ่มตามอายุหรือรายได้ ซึ่งใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลข การแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยาใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ หรือบุคลิกภาพ ซึ่งอาจแปลความได้หลากหลาย ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามหรือการให้สัมภาษณ์ อาจไม่สะท้อนความคิดที่แท้จริงของผู้ตอบ หรือผลลัพธ์อาจแตกต่างกันตามวิธีการเก็บข้อมูล ดังนั้นจึงควรใช้ควบคู่กับข้อมูลพฤติกรรมจริงหรือข้อมูลธุรกรรม เพื่อช่วยยืนยันความแม่นยำของการวิเคราะห์

ข้อจำกัดด้านงบประมาณและทรัพยากร

การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงจิตวิทยาต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เช่นต้องใช้ทีมวิจัยที่มีประสบการณ์ในการออกแบบคำถามและตีความข้อมูล หรือกระบวนการรวบรวมข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์หรือโฟกัสกรุ๊ป ที่มีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนั้น การวิเคราะห์เชิงลึกอาจต้องใช้เครื่องมือด้านดิจิทัลที่มีราคาสูง สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การใช้ Psychographic Segmentation ควรพิจารณาร่วมกับการแบ่งกลุ่มแบบอื่น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและแม่นยำมากขึ้น

ตัวแปรในการแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยา (Psychographic Segmentation Variables)

การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามปัจจัยด้านจิตวิทยาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อแบรนด์เข้าใจและเลือกใช้ “ตัวแปร” ที่เหมาะสมในการจำแนกกลุ่มเป้าหมาย โดยตัวแปรเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น สร้างแคมเปญการตลาดที่เฉพาะเจาะจง และเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บุคลิกภาพ (Personality)

ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของผู้บริโภคมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการซื้อ ความชอบ และความภักดีต่อแบรนด์ หากธุรกิจสามารถวิเคราะห์ลักษณะเหล่านี้ได้ ก็จะสามารถปรับการสื่อสารให้สอดคล้องกับกรอบความคิดของแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด ตัวอย่างเช่น

  • คนที่มีบุคลิกเงียบขรึม (introvert) อาจชอบกิจกรรมสงบ เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับตัวเอง
  • คนที่ชอบความท้าทาย อาจสนใจแบรนด์ที่มีความตื่นเต้นหรือแปลกใหม่

การเข้าใจลักษณะจิตวิทยาเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์ออกแบบแคมเปญได้อย่างเฉพาะตัว

ทัศนคติ (Attitudes)

ทัศนคติหมายถึงมุมมองหรือความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้า แบรนด์ หรืออุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และการตัดสินใจซื้อ ตัวอย่างเช่น

  • กลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มักเลือกแบรนด์ที่มีความยั่งยืนหรือเป็นมิตรต่อโลก
  • กลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพ จะให้ความสำคัญกับสินค้าออร์แกนิกหรือไม่มีสารเคมี

การใช้ข้อมูลด้านทัศนคติ ช่วยให้ธุรกิจวางแผนการสื่อสารให้ตรงกับค่านิยมของลูกค้า

กิจกรรม ความสนใจ และความคิดเห็น (Activities, Interests, and Opinions – AIO)

โมเดล AIO เป็นหัวใจของการแบ่งกลุ่มแบบจิตวิทยา โดยใช้ข้อมูลจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  • กิจกรรม (Activities): เช่น งานอดิเรก กีฬา สไตล์ความบันเทิง หรือกิจวัตรประจำวัน
  • ความสนใจ (Interests): สิ่งที่ลูกค้ารู้สึกหลงใหล เช่น การท่องเที่ยว เทคโนโลยี หรือสุขภาพ
  • ความคิดเห็น (Opinions): มุมมองด้านสังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจ

โดยข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยสะท้อนไลฟ์สไตล์และความคิดของลูกค้าอย่างชัดเจน

สถานะทางสังคม (Social Status)

ฐานะทางสังคมหรือระดับรายได้มีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายและความคาดหวังของลูกค้า

  • กลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง มักให้ความสำคัญกับแบรนด์หรูหรือสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ
  • กลุ่มที่คำนึงถึงความคุ้มค่า จะมองหาแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายและราคาประหยัด

การวิเคราะห์สถานะทางสังคมของผู้บริโภคช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดกลยุทธ์และข้อความทางการตลาดได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย

ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle)

การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามไลฟ์สไตล์มุ่งวิเคราะห์ว่าแต่ละคนใช้เวลาและเงินไปกับอะไรบ้าง ซึ่งสะท้อนถึงสมดุลระหว่างชีวิตและงาน ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรม

ตัวอย่างกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่พบได้บ่อย เช่น

  • สายรักสุขภาพ: ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย โภชนาการ และการดูแลสุขภาพโดยรวม
  • คนรักเทคโนโลยี: มักเป็นกลุ่มที่ชอบลองนวัตกรรมใหม่ ๆ และติดตามเทรนด์อุปกรณ์อัจฉริยะ
  • สายผจญภัย: ชื่นชอบการท่องเที่ยว กิจกรรมกลางแจ้ง และประสบการณ์แปลกใหม่

บุคลิกของลูกค้าเป้าหมาย (Buyer Personas) และตลาดเป้าหมาย

การสร้าง Buyer Persona คือการกำหนดตัวแทนของลูกค้าในอุดมคติ โดยอิงจากข้อมูลจริงผสมกับจินตนาการที่มีพื้นฐาน เช่น ความต้องการ ทัศนคติ หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งช่วยให้การทำการตลาดเฉพาะกลุ่มมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น

  • "คนรุ่นใหม่วัยทำงาน": ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการทำงาน และโอกาสในการสร้างคอนเนกชัน
  • "คุณพ่อคุณแม่เน้นประหยัด": ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับครอบครัว

ด้วยการใช้ข้อมูลจิตวิทยาที่เชื่อถือได้ ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน และออกแบบแคมเปญที่ตรงใจยิ่งขึ้น

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงจิตวิทยาของผู้บริโภคยังช่วยในการออกแบบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างเฉพาะเจาะจง

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ เช่น

  • แบรนด์สายรักษ์โลก ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนสำหรับกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์ ออกแบบคอลเลกชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง

การศึกษากลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลจิตวิทยาช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

การสื่อสารการตลาดและช่องทางการขาย (Marketing Messages and Funnels)

การส่งสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพควรอิงจากลักษณะทางจิตวิทยาของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์เฉพาะบุคคล (personalised experience)

  • แบรนด์สามารถปรับข้อความโฆษณา คอนเทนต์โซเชียลมีเดีย หรืออีเมล ให้เข้ากับแต่ละกลุ่ม
  • การสัมภาษณ์ลูกค้า และการทำ focus group ช่วยให้ปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคได้มากขึ้น

การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty and Advocacy)

ลูกค้าจะมีแนวโน้มภักดีต่อแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมและไลฟ์สไตล์ของตนเอง โดยการใช้ข้อมูลเชิงจิตวิทยา ธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์กับลูกค้า และกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อ (advocacy)

  • การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและตรงใจผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียช่วยเสริมสร้างความผูกพัน
  • ประสบการณ์เฉพาะบุคคลช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ "เข้าใจ" ตนเองจริง ๆ

การวางงบประมาณและแผนดำเนินงาน (Budgeting and Planning)

การแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงจิตวิทยาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านงบประมาณ เวลา และบุคลากร เช่น

  • การเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถาม เครื่องมือวิเคราะห์ดิจิทัล และการสัมภาษณ์ลูกค้า
  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อระบุกลุ่มจิตวิทยาหลัก
  • การทดสอบแคมเปญการตลาดหลายรูปแบบเพื่อหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

วิธีดำเนินการแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)

การแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงจิตวิทยาอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้กระบวนการที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์ การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ไปจนถึงการปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

ตั้งเป้าหมายและพารามิเตอร์ให้ชัดเจน

ก่อนเริ่มต้นกระบวนการแบ่งกลุ่มเชิงจิตวิทยา ธุรกิจควรตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้

  • ต้องการวิเคราะห์พฤติกรรมและลักษณะจิตวิทยาแบบใดของผู้บริโภค?
  • จะกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบกว้าง หรือเจาะจงแบบ Persona รายบุคคล?
  • จะใช้ตัวแปรประเภทใดในการแบ่งกลุ่ม (เช่น บุคลิกภาพ ค่านิยม ความสนใจ)?

การกำหนดพารามิเตอร์ที่ชัดเจนจะช่วยให้เลือกวิธีเก็บข้อมูลและแนวทางการแบ่งกลุ่มได้อย่างเหมาะสม

เริ่มจากการแบ่งกลุ่มแบบกว้าง (Broad Segmentation)

การแบ่งกลุ่มเชิงจิตวิทยาสามารถเริ่มจากระดับกว้าง ก่อนจะปรับแต่งให้ละเอียดในภายหลัง โดยอิงจากไลฟ์สไตล์ ความสนใจ และค่านิยม เช่น

  • นักสร้างเทรนด์ (Innovators): ชอบลองสิ่งใหม่ ๆ และเทคโนโลยีล้ำสมัย
  • นักอนุรักษ์นิยม (Traditionalists): ชอบความมั่นคงและสิ่งที่คุ้นเคย
  • สายผจญภัย (Adventure Seekers): มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และการสำรวจ
  • นักช้อปสายประหยัด (Budget-Conscious Buyers): ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า

จากนั้นจะสามารถต่อยอดโดยใช้วิธีเก็บข้อมูลที่เจาะลึกมากขึ้น

การเก็บข้อมูลเชิงลึก (Data Collection)

การแบ่งกลุ่มเชิงจิตวิทยาที่แม่นยำต้องอาศัยข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถเก็บได้ผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น:

  • การสัมภาษณ์กลุ่ม (Focus Groups) และการสัมภาษณ์รายบุคคล
  • การวิเคราะห์โซเชียลมีเดีย (Social Media Listening)
  • การทำแบบสอบถาม (Surveys)
  • การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)

แต่ละวิธีล้วนให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับลักษณะทางจิตวิทยาและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค

Focus Groups & Interviews

การสนทนากลุ่มหรือสัมภาษณ์แบบเจาะลึกช่วยให้เข้าใจมุมมอง ทัศนคติ และแรงจูงใจของผู้บริโภคได้อย่างละเอียด เช่น

  • มุมมองต่อแบรนด์และสินค้า
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต และแรงจูงใจในการซื้อ
  • อารมณ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ

แม้จะใช้เวลามาก แต่ก็ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ลึกและเป็นประโยชน์

Social Media Listening

การติดตามการสนทนาและความเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น

  • แนวโน้มและความชอบใหม่ ๆ
  • เข้าใจวิธีที่ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มโต้ตอบกับแบรนด์
  • ปรับข้อความการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมจริง

การใช้ข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดได้แบบเรียลไทม์

Surveys

แบบสอบถามช่วยให้รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับ

  • บุคลิกภาพ
  • ค่านิยมและความเชื่อ
  • ความสนใจและงานอดิเรก
  • พฤติกรรมการซื้อสินค้า

โดยเฉพาะแบบสอบถามออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

Data analytics

เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่สามารถช่วยให้ธุรกิจค้นพบสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น

  • ค้นหาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
  • แบ่งกลุ่มตามประวัติการซื้อและการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
  • ทำนายพฤติกรรมในอนาคตโดยใช้ระบบ AI

เมื่อผสานเข้ากับข้อมูลประชากรศาสตร์และพฤติกรรม จะได้กลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำและรอบด้านมากยิ่งขึ้น

การระบุและจัดระเบียบกลุ่มเป้าหมาย (Segment Identification)

หลังจากเก็บข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ

  • จัดกลุ่มผู้บริโภคตามลักษณะจิตวิทยาร่วมกัน
  • ทดสอบและปรับปรุงโมเดลการแบ่งกลุ่ม
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากลุ่มเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ

สรุปและยืนยันกลุ่มเป้าหมาย (Segment Finalisation)

ขั้นตอนสุดท้ายคือการทดสอบและยืนยันกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ:

  • ทดสอบแคมเปญการตลาดกับแต่ละกลุ่ม
  • ปรับเกณฑ์การแบ่งกลุ่มตามผลตอบรับจากผู้บริโภค
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากลุ่มเป้าหมายยังคงมีความเกี่ยวข้องในบริบทที่เปลี่ยนแปลง

การปรับแต่งและอัปเดตโมเดลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดได้ในระยะยาว

การใช้ Psychographic Segmentation ควบคู่กับข้อมูลประเภทอื่น

การใช้ Psychographic Segmentation ควบคู่กับข้อมูลประเภทอื่น จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาแคมเปญการตลาดที่แม่นยำ ตรงใจผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผสานกับข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographic) พฤติกรรมการซื้อ และเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกต่าง ๆ ดังนี้

การผสานกับ Demographic Segmentation

แม้ Psychographic Segmentation จะมุ่งวิเคราะห์บุคลิก ไลฟ์สไตล์ และค่านิยมของผู้บริโภค แต่ Demographic Segmentation จะช่วยให้เข้าใจว่า “ใคร” คือกลุ่มเป้าหมายผ่านข้อมูล เช่น

  • อายุ
  • เพศ
  • รายได้
  • ระดับการศึกษา
  • ที่อยู่อาศัย

เมื่อรวมกัน จะทำให้แบรนด์รู้ทั้ง “ใคร” และ “ทำไม” ลูกค้ากลุ่มนั้นจึงตัดสินใจซื้อ เช่น ผู้มีรายได้สูงอาจแบ่งออกได้อีกตามจิตวิทยาการบริโภค บางคนเน้นความหรูหรา ขณะที่บางคนเน้นความยั่งยืน

การผสานกับข้อมูลพฤติกรรมการซื้อ

การรวม Psychographic Segmentation กับข้อมูล Purchase Behaviour และธุรกรรมการซื้อ จะช่วยให้แบรนด์

  • ระบุได้ว่ากลุ่มจิตวิทยาใดมีแนวโน้มซื้อสินค้าหรือบริการใดบ้าง
  • เข้าใจปัจจัยทางอารมณ์และจิตวิทยาที่กระตุ้นการซื้อ
  • วางแผนการสื่อสารและโปรโมชันที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

ตัวอย่าง: แบรนด์สินค้ารักษ์โลกอาจพบว่า ลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม (psychographic) มีแนวโน้มชอบบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้ และสนับสนุนสินค้าจากธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างมีจริยธรรม

แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices)

เพื่อใช้ Psychographic Segmentation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจควรที่จะดำเนินการดังนี้

  • วิเคราะห์เชิงซ้อน (Cross-analysis): ผสานข้อมูล psychographic, behavioural และ demographic เพื่อสร้างมุมมองลูกค้าแบบองค์รวม
  • ทดสอบข้อความทางการตลาด (A/B Testing): สร้างแคมเปญที่หลากหลายและปรับตามการตอบรับของแต่ละกลุ่ม
  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ดิจิทัล: เช่น AI หรือ Machine Learning เพื่อติดตามแนวโน้มบุคลิกและความชอบของลูกค้า
  • อัปเดตข้อมูลวิจัยตลาดสม่ำเสมอ: เพราะพฤติกรรมและจิตวิทยาของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

เมื่อ Psychographic Segmentation ถูกนำมาใช้ร่วมกับข้อมูลประเภทอื่นอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้แบรนด์วางกลยุทธ์การตลาดที่ “เจาะลึก” และ “เข้าใจ” กลุ่มเป้าหมายในระดับที่ลึกกว่าเดิมได้อย่างแท้จริง

วิธีการดึง Insight จาก Psychographic Segmentation

  • อัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: พฤติกรรม ความสนใจ และค่านิยมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงควรเก็บข้อมูลใหม่ผ่านการสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมาย หรือ social listening อย่างต่อเนื่อง
  • เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มต่าง ๆ: การมองเห็นความแตกต่างระหว่างแต่ละ segment จะช่วยให้แบรนด์ค้นพบโอกาสใหม่หรือกลุ่มลูกค้าที่ถูกมองข้าม
  • ปรับกลยุทธ์การตลาดให้แม่นยำขึ้น: ใช้ psychographic attributes เช่น ความเชื่อหรือไลฟ์สไตล์ ในการปรับข้อความทางการตลาดให้สื่อสารตรงใจ
  • วิเคราะห์แนวโน้มความภักดีต่อแบรนด์: ทำความเข้าใจว่า traits แบบไหนที่ส่งเสริมความภักดีหรือแรงจูงใจในการแนะนำแบรนด์ เพื่อวางแผนรักษาลูกค้าในระยะยาว

ตัวอย่าง: หากใช้การสัมภาษณ์ลูกค้าและติดตามพฤติกรรมในโซเชียลมีเดีย จะเห็นว่าแต่ละกลุ่มให้ความสำคัญกับ “คุณค่าของแบรนด์” แตกต่างกัน เช่น บางกลุ่มชอบแบรนด์ที่มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่บางกลุ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่หรือราคาคุ้มค่า

ตัวอย่างการใช้ Psychographic Segmentation

  • แบรนด์ฟิตเนส: แบ่งกลุ่มตามไลฟ์สไตล์ เช่น คนรักสุขภาพ ผู้ที่ออกกำลังกายเพื่อความสนุก และนักกีฬาอาชีพ
  • สินค้าแบรนด์หรู: เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และสถานะทางสังคม
  • บริษัทเทคโนโลยี: สร้าง buyer persona จากทัศนคติต่อเรื่องนวัตกรรม ราคา หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์
  • ธุรกิจรักษ์โลก: เน้นลูกค้าที่มีแรงจูงใจด้านจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุรีไซเคิลหรือการผลิตแบบยั่งยืน

สรุป

Psychographic segmentation คือการเปลี่ยนวิธีที่แบรนด์เข้าถึงลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยการเข้าใจสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยม ความสนใจ หรือไลฟ์สไตล์ แบรนด์จึงสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ “รู้ใจ” และตรงกับความต้องการของแต่ละคนได้มากกว่าเดิม

แทนที่จะพึ่งพาแค่ข้อมูลพื้นฐานอย่างอายุหรือภูมิภาค การแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงจิตวิทยา ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารได้อย่างมีเป้าหมาย พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว

Milieu Team
Author
Milieu Team

At Milieu, we’re a team of curious minds who love digging into data and uncovering what drives people. Together, we turn insights into stories—and stories into action. We also run on coffee, deadlines, and the occasional meme.

พร้อมที่จะยกระดับเกมเชิงลึกของคุณหรือไม่?

Take the first step towards data-driven excellence.
Contact Milieu today.
ขอบคุณเราจะติดต่อกันเร็ว ๆ นี้!
อ๊ะ!มีบางอย่างผิดปกติขณะส่งแบบฟอร์ม
Contact us
__wf_สงวน_มรดก__wf_สงวน_มรดก