Milieu Insight ชวนคุณสำรวจตัวเองว่า 6 ประเภทนักช้อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) คุณอยู่ในกลุ่มไหน?

Written on :
November 25, 2025
10 min read
Milieu Insight Insight สงกรานต์ 2025

เคยไหม… เวลาเปิดแอปช้อปปิ้งแล้วนิ้วค้างอยู่เหนือปุ่มจ่ายเงิน ของในตะกร้าก็เต็มไปหมด รู้ทั้งรู้ว่า “ไม่อยากใช้เงินเยอะแล้วนะ” แต่สุดท้ายก็ยังกดจ่ายอยู่ดี ภาพแบบนี้สะท้อนอารมณ์ร่วมของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2025 ได้ชัดมาก เพราะหลายคนกำลังอยู่ในภาวะ “ใช้เงินมากขึ้น แต่รู้สึกระมัดระวังตัวกว่าเดิม”

Milieu Insight สำรวจผู้บริโภค 3,054 คนจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผ่านเครื่องมือ 'Consumer Spedning Tracker' และพบว่า 51% ใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 3 เดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกัน 38% บอกว่ามู้ดการใช้เงินของตัวเองคือ “cautious” หรือระมัดระวังแบบมีความกังวลอยู่ลึก ๆ

ความน่าสนใจคือ ภาพนี้ไม่ได้แปลว่าผู้บริโภคแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชัด ๆ แต่สะท้อนว่า “คนคนเดียว” สามารถมีหลายโหมดการช้อปได้ ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า สถานการณ์ และจังหวะชีวิต และเมื่อมองลึกลงไป เราจะเห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้จับกลุ่มออกมาเป็น 6 ประเภทนักช้อปที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่ง Milieu Insight จะพาคุณไปสำรวจทีละแบบในบทความนี้

ภาพรวมของ Market Research ครั้งนี้ ศึกษาอะไร และเก็บข้อมูลอย่างไร

การศึกษานี้ มีจุดประสงค์ในการสำรวจเพื่อทำความเข้าใจว่า ภายใต้ภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองอย่างไรบ้าง และพฤติกรรมเหล่านั้นเริ่ม “จับกลุ่ม” ออกมาเป็นนักช้อปหลายรูปแบบได้อย่างไร เพื่อให้แบรนด์มองเห็นทั้งแรงกดดันทางการเงินและอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจซื้อในแต่ละครั้ง

Milieu Insight เก็บข้อมูลผ่านการสำรวจออนไลน์บนแอป Milieu Surveys ในช่วงเดือนตุลาคม 2025 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 3,054 คน ใน 6 ประเทศหลักของภูมิภาค ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยใช้ทั้งคำถามเชิงพฤติกรรมและทัศนคติ เพื่อสะท้อนให้เห็น “เหตุผลที่ซื้อ” ควบคู่ไปกับ “ความรู้สึกในจังหวะที่ตัดสินใจจ่ายจริง”

นักช้อปแบบที่ 1: The Anxious Optimists

(ราว 32–34% ของนักช้อปในภูมิภาค)

“กังวลเรื่องเงินก็จริง แต่พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น…ใช่ไหมนะ?”
กลุ่มนี้คือคนที่ ปากบอกว่าประหยัดนะ ระวังเรื่องเงินนะ
แต่พอเจอโปรดีๆ ทีไร ก็ ใจอ่อนทุกที แบบว่า “เออ มันก็คุ้มอะ ซื้อก็ได้มั้ง”

The Anxious Optimists คือกลุ่มนักช้อปที่บอกว่าตัวเองใช้เงินแบบ cautious หรือค่อนข้างระมัดระวัง แต่ในความเป็นจริงกลับใช้จ่ายมากขึ้นกว่าที่คิด เพราะพวกเขาจะ “ยอมเพิ่มเงิน” ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าดีลนั้นปลอดภัยพอ เห็นความคุ้มชัด และมั่นใจว่าไม่ได้จ่ายแพงเกินจำเป็น

พฤติกรรมเด่นของกลุ่มนี้คือรอโปรโมชัน ลดราคา และเทียบหลายแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจจริงจัง ถึงขั้นว่า 74% จะไม่ซื้อถ้าไม่มีส่วนลด และมักเช็กราคาข้ามอย่างน้อย 3 แพลตฟอร์ม เพื่อหาตัวเลือกที่ “คุ้มที่สุดในความรู้สึก” ไม่ใช่แค่ราคาถูกสุด

Insight สำคัญ: กลุ่มนี้ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์มากนัก แต่ยึดกับ “ความคุ้มค่า” มากกว่า ใครให้ดีลที่ทำให้รู้สึกสบายใจและแฮปปี้ได้ก่อน คนนั้นมีโอกาสชนะใจไปเลย

Business Actionable (สั้น ๆ): สื่อสารดีลให้ชัด เข้าใจง่าย และทำโปรที่ลดความรู้สึกเสี่ยง เช่น bundle หรือ reward ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้พวกเขากล้าตัดสินใจจ่ายโดยไม่ต้องรู้สึกผิดทีหลัง

นักช้อปแบบที่ 2: The Discount Hunters

(ประมาณ 70% ของนักช้อปในภูมิภาค)

“ถ้าจ่ายเต็มราคา แล้วมันเรียกว่าซื้อจริงไหมอะ?”
คือไม่ได้คิดว่าลดราคาคือของแถมหรือโบนัสอะไรเลย แต่คิดว่า โปร = มาตรฐานของการซื้อของยุคนี้

กลุ่มนี้เป็นนักช้อปที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และมองโปรโมชันเป็น “มาตรฐาน” ของการซื้อ ไม่ใช่ของแถมพิเศษ หลายคนแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ซื้อราคาเต็มคือเมื่อไหร่ เพราะพฤติกรรมหลักคือรอช่วงลดราคา รอโค้ด หรือดีลซื้อ 1 แถม 1 แล้วค่อยตัดสินใจกดซื้อ

Discount Hunters มีระบบล่าโปรของตัวเองแบบจริงจัง ตั้งแต่การเก็บโค้ดส่วนลดไว้เป็นคลัง การตามกลุ่มหรือช่องทางแบรนด์เพื่อรอดีลลับ ไปจนถึงการวางแผนช้อปรอบ mega-sale (อย่าง 9.9 / 10.10 / 11.11) เหมือนเป็น “ปฏิทินช้อปปิ้งประจำปี” ที่พลาดไม่ได้

Insight สำคัญ: จุดตัดสินใจของกลุ่มนี้อยู่ที่ “ราคาสุทธิหลังหักส่วนลด” มากกว่าราคาป้ายที่เห็นตอนแรก

Business Actionable: ทำให้ดีลโดดเด่น หาเจอง่าย และมีจังหวะโปรโมชันที่คาดเดาได้ พร้อมแสดงราคาสุทธิที่ต้องจ่ายจริงตอน checkout ให้ชัดที่สุด เพื่อปิดการขายได้เร็วขึ้น

นักช้อปแบบที่ 3: The Grocery Grinders

(ประมาณ 59% ของนักช้อป SEA)

“ค่ากับข้าวแพงขึ้น แต่ของที่กินกลับดูแย่ลงเรื่อย ๆ”
เป็นคนที่ต้องอยู่กับค่าใช้จ่ายในซูเปอร์ฯ แบบจำใจจ่าย เพราะของกินมันต้องซื้อ แต่ซื้อทีไรก็รู้สึกว่าถูกรีดเงินแบบไม่ค่อยแฟร์

Grocery Grinders คือกลุ่มที่รู้สึกชัดว่าค่าใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นแทบทุกเดือน แต่สิ่งที่ได้ในแง่คุณภาพของสินค้ากลับเหมือนว่า “ลดลง” หลายครัวเรือนเริ่มลดหมวดเนื้อสัตว์หรือโปรตีน แล้วหันไปเพิ่มของที่ราคายืดหยุ่นมากกว่า เช่น ขนมขบเคี้ยว หรืออาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องในงบที่ถูกลง

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือพวกเขากำลังเล่นเกม “สลับของในตะกร้าเพื่อให้มื้ออาหารยังไปต่อได้” เช่น เปลี่ยนเนื้อชิ้นดีเป็นชิ้นที่ถูกกว่า หรือเปลี่ยนผักสดเป็นผักแช่แข็ง/ผักดองตามลำดับความจำเป็น และในเดือนล่าสุดสัดส่วนสินค้าในตะกร้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ที่เพิ่ม 58% และขนมเคี้ยวเพิ่ม 33% ขณะที่เนื้อ/โปรตีนลดลงกว่า 40%

Insight สำคัญ: คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยากลดคุณค่าทางโภชนาการ แต่ราคาที่สูงขึ้นบีบให้ต้องปรับตัว และยอม trade-off บางอย่างเพื่อให้ทั้งบ้านยังอิ่มและอยู่ได้

Business Actionable: ทำให้โปรตีนหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเข้าถึงง่ายขึ้นในราคาที่จับต้องได้ เช่น family pack หรือ smart bundle และสื่อสารคุณค่าในรูปแบบ “ต้นทุนต่อมื้อ/ต่อเสิร์ฟ” เพื่อช่วยลดแรงกดดันเวลาต้องตัดสินใจซื้อของเข้าบ้าน

นักช้อปแบบที่ 4: The Digital Natives

(ราว 40–65% ของนักช้อป SEA)

“เงินสดคืออะไรนะ?”

Digital Natives คือกลุ่มนักช้อปสาย app-first ที่ใช้ชีวิตแบบ cashless เป็นเรื่องปกติ โทรศัพท์คือทั้งกระเป๋าเงินและร้านค้าในเครื่องเดียว นักช้อปกลุ่มนี้ใช้ e-wallet เป็นช่องทางการจ่ายหลัก (เฉลี่ยทั้งภูมิภาค 21% แต่พุ่งสูงถึง 64% ในฟิลิปปินส์) และใช้เวลาอยู่ใน marketplace หรือแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่าการเดินเข้าร้านค้าอย่างชัดเจน

เส้นทางการซื้อของกลุ่มนี้เน้น “เร็ว ลื่น และจบในแอป” เห็นของใน TikTok หรือโซเชียล ก็กดซื้อทันที และจ่ายเลยแบบไม่ต้องคิดเยอะ รีวิวออนไลน์จึงมีอิทธิพลสูงมาก เพราะเป็นตัววัดความน่าเชื่อถือแบบเรียลไทม์ ถ้าระบบจ่ายเงินไม่สะดวก หรือเรตติ้งดูไม่น่าไว้ใจ พวกเขาพร้อมเปลี่ยนแพลตฟอร์มหรือแบรนด์ทันทีโดยไม่ลังเล

Insight สำคัญ: สำหรับกลุ่มนี้ “ความสะดวก” และ “ความน่าเชื่อถือของรีวิว” คือประตูสำคัญที่สุดก่อนสินค้าจะเข้าไปอยู่ในตะกร้า

Business Actionable: ทำให้การซื้อ “ลื่นตั้งแต่ต้นจนจบ” เช่น รองรับ e-wallet ที่คนประเทศต่าง ๆ ใช้งานจริง ลดขั้นตอนจ่ายเงินในแอปให้สั้นที่สุด และดูแลรีวิว/คะแนนให้ดี เพราะคนกลุ่มนี้ตัดสินใจจากความสะดวกและความน่าเชื่อถือในไม่กี่วินาที

Tribe 5: The Stress Splurgers (ประมาณ 19% ของนักช้อป SEA)

“ยิ่งเครียดยิ่งอยากซื้ออะไรสักอย่างให้รู้สึกดีขึ้น”

Stress Splurgers คือกลุ่มที่ตัดสินใจใช้จ่ายด้วย “อารมณ์” เป็นแกนหลัก แม้จะบอกว่ามู้ดการใช้เงินตอนนี้คือ stressed (19% ของทั้งภูมิภาค และสูงถึง 25% ในฟิลิปปินส์) แต่หลายคนกลับใช้เงินมากกว่าเดือนก่อน และมีจังหวะที่อยู่ ๆ ก็ซื้อเป็นระยะ เพราะการซื้อของช่วยเยียวยาความรู้สึกได้ในเวลาสั้น ๆ

สำหรับคนกลุ่มนี้ “ซื้ออะไร” อาจไม่สำคัญเท่า “ซื้อแล้วรู้สึกยังไง” ตั้งแต่โทนการสื่อสารของแบรนด์ หน้าตาแพ็กเกจ ไปจนถึงประสบการณ์ตอนแกะกล่อง ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความคุ้มค่า และมีผลต่อความพึงพอใจหลังซื้อโดยตรง

Insight สำคัญ: พวกเขาไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อ “ความสบายใจ” และความรู้สึกว่าตัวเองได้รางวัลเล็ก ๆ ในวันเหนื่อย ๆ

Business Actionable: ออกแบบโปรหรือดีลให้เป็น guilt-free micro-reward ให้รู้สึกว่า “ซื้อได้แบบไม่ต้องรู้สึกผิด” และสร้างประสบการณ์การซื้อที่เป็น comfort moment ผ่านโทนแบรนด์ การแพ็กของ หรือรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมใจในจังหวะนั้น

Tribe 6: The Experience Seekers (ประมาณ 33% ของนักช้อป SEA)

“ชีวิตมันสั้น ของใช้ก็พังได้ แต่ประสบการณ์ดีๆ อยู่กับเราไปนานกว่า”
เป็นสายที่ให้ค่ากับ ประสบการณ์และโมเมนต์ในชีวิต มากกว่าสิ่งของในมือ ถ้ามีงบจำกัด เขาจะเลือกใช้เงินกับความทรงจำก่อนเลย

Experience Seekers คือกลุ่มที่ให้คุณค่ากับ “โมเมนต์ในชีวิต” มากกว่าสิ่งของ พวกเขาตั้งใจเพิ่มงบในช่วง 3 เดือนข้างหน้ากับหมวด travel & experiences สูงสุดที่ 33% และยังมี dining out/food delivery กับ wellness ที่ตามมาติด ๆ ที่ 30% เท่ากัน สะท้อนว่าเงินส่วนใหญ่ถูกวางไว้เพื่อใช้กับประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ที่รู้สึกคุ้มกับชีวิตจริง ๆ

กลุ่มนี้มีมู้ดทางการเงินค่อนข้างบวกกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค โดย 22% รู้สึกมั่นใจและมองในแง่ดี 15% รู้สึกว่ายังโอเคและยังทรง ๆ อยู่ และ 40% บอกว่าตอนนี้สถานะการเงินค่อนข้างมั่นคงพอสมควร ต่อให้ช่วงไหนต้องรัดเข็มขัด พวกเขามักยอมลดงบหมวดอื่นก่อน แต่ไม่ค่อยตัดงบในหมวดประสบการณ์ เพราะมองว่านี่คือสิ่งที่ “เติมเต็มชีวิต” ได้มากที่สุด

Insight สำคัญ: สำหรับกลุ่มนี้ ประสบการณ์คือ “สินทรัพย์ทางความรู้สึก” ที่มีค่ากว่าสิ่งของ และคุ้มกว่าที่จะจ่าย

Business Actionable: สื่อสารให้เห็น “เรื่องเล่าและโมเมนต์” ที่สินค้าหรือบริการสร้างให้ได้มากกว่าตัวสินค้าเอง ทำให้ประสบการณ์นั้นแชร์ต่อหรือเล่าต่อได้ง่าย แล้วกลุ่มนี้จะช่วยขยายแบรนด์แบบออร์แกนิกให้เอง

ทำไมคนในภูมิภาคถึงเป็นได้หลายแบบพร้อมกัน

ข้อมูลย้ำชัดว่า ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้มี “ตัวตนเวลาช้อป” แค่แบบเดียว แต่จะสลับโหมดไปตามหมวดสินค้าและจังหวะชีวิตในแต่ละช่วง คนคนเดียวกันอาจเป็น Discount Hunter เวลาเติมของเข้าบ้าน เป็น Stress Splurger เวลาหนักใจก่อนนอน และเป็น Experience Seeker ตอนวางแผนทริปสุดสัปดาห์ ซึ่งนี่ไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่คือวิธีจัดสรรชีวิตให้ทั้งอยู่รอดในเศรษฐกิจที่กดดัน และยังมีพื้นที่ให้ความสุขไปพร้อมกัน

เพราะฉะนั้นทั้ง 6 ประเภทนักช้อปจึงไม่ใช่ Segment แบบตายตัว แต่เป็น “moods” หรือโหมดการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์จริงในชีวิต แรงกดดันเรื่องค่าครองชีพ ความไม่แน่นอนในอนาคต และความสะดวกของโลกดิจิทัล ล้วนทำให้คน ๆ เดียวต้องใช้หลายกลยุทธ์การช้อปในเวลาเดียวกัน

Key Takeaways สำหรับแบรนด์และนักการตลาด

ภาพรวมปี 2025 ของนักช้อป SEA ชัดเจนมากว่า ใช้เงินมากขึ้น แต่ไม่ได้มั่นใจมากขึ้น นี่คือความตึงที่แบรนด์ต้องอ่านให้ออก เพราะผู้บริโภคไม่ได้ซื้อด้วยเหตุผลเดิม ๆ อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ตัดสินใจตาม “อารมณ์และแรงกดดันเฉพาะหน้า” ในแต่ละช่วง มากกว่าตาม demographic หรือ Segment แบบตายตัว

สิ่งที่แบรนด์ควรโฟกัส

  • ความคุ้มค่าที่เห็นและพิสูจน์ได้จริง โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นที่คนกำลังระวังการใช้จ่าย (นักช้อปแบบที่ 1-3)
  • ประสบการณ์ซื้อที่ง่าย ไหลลื่น และน่าเชื่อถือ ในโลกที่คนซื้อผ่านมือถือและจ่ายเงินแบบไร้เงินสดเป็นหลัก (นักช้อปแบบที่ 4)
  • คุณค่าทางความรู้สึกและประสบการณ์ที่ทำให้ “รู้สึกว่าคุ้ม” แม้ในวันที่ชีวิตเคร่งเครียด (นักช้อปแบบที่ 5-6)

คำถามไม่ใช่แค่คุณเป็นนักช้อปแบบไหน แต่ “ตอนนี้” คุณเป็นนักช้อปแบบไหน

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคในภูมิภาคไม่ได้ช้อปแบบสับสน แต่ช้อปแบบ “ปรับตัวเก่ง” เราใช้เหตุผลกับของจำเป็น ใช้อารมณ์กับสิ่งที่ช่วยเยียวยาใจ และยังเก็บความหวังไว้กับประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตรู้สึกมีความหมาย

ดังนั้นคำถามที่ใช่ไม่ใช่ “คุณเป็นนักช้อปแบบไหน”
แต่คือ “ตอนนี้ คุณเป็นนักช้อปแบบไหน” 

ลองเปิดตะกร้าช้อปของตัวเองดู แล้วคุณจะเห็นคำตอบชัดที่สุด

Milieu Team
Author
Milieu Team

At Milieu, we’re a team of curious minds who love digging into data and uncovering what drives people. Together, we turn insights into stories—and stories into action. We also run on coffee, deadlines, and the occasional meme.

พร้อมที่จะยกระดับเกมเชิงลึกของคุณหรือไม่?

Take the first step towards data-driven excellence.
Contact Milieu today.
ขอบคุณเราจะติดต่อกันเร็ว ๆ นี้!
อ๊ะ!มีบางอย่างผิดปกติขณะส่งแบบฟอร์ม
Contact us
__wf_สงวน_มรดก__wf_สงวน_มรดก