เมื่อ 78% หันมา “รักษ์โลก” แบบไม่ต้องใช้เงิน “กระแสการรักษ์โลกแบบเงียบ ๆ” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถือกำเนิดขึ้น
เวลาmที่ค่าครองชีพพุ่งไม่หยุด คำว่า “รักษ์โลก” จึงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวและฟุ่มเฟือยขึ้นมาทันที แต่คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า การดูแลโลกไม่จำเป็นต้องมาพร้อมค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เสมอไป
ลองนึกภาพตามว่า ค่ากับข้าวขึ้นทุกเดือน ค่าเช่าบ้านปรับขึ้น งานก็รู้สึกไม่มั่นคงเท่าเดิม ทุกคนรอบตัวบอกให้ “ไปทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” คุณเองก็อยากมีส่วนร่วม แต่ในหัวกลับคิดก่อนเลยว่า “แล้วฉันจะเอาชีวิตรอดยังไง”
ผลสำรวจปี 2025 โดย Milieu Insight พบว่า 75% ของคนในภูมิภาครู้สึกว่าค่าครองชีพคือความกังวลอันดับหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ 78% ของคนในภูมิภาค ก็หันมาใช้วิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และบางประเทศ ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นไปถึง 87% ด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่กระแส “รักษ์โลกเอาเท่” ไม่ใช่แค่คำสวย ๆ เพื่อภาพลักษณ์ แต่เป็นการสร้าง Movement แบบเงียบ ๆ จากคนทั้งภูมิภาค ที่กำลังเขียนนิยามใหม่ให้กับคำว่า “รักษ์โลก” ที่ไม่ว่าจะรวยจะจน ต่างก็สร้าง Movement ในการรักษ์โลกได้ไม่แตกต่างกัน
Milieu Insight จะพาทุกท่านไปสำรวจในหัวข้อนี้กันว่า จากผลสำรวจที่เราทำขึ้นนั้น สะท้อนให้เห็นเทรนด์อะไรพฤติกรรมของผู้คนในภูมิภาคอย่างไรบ้างในช่วงปีที่ผ่านมา
ภาพรวมของภูมิภาค กำลังชี้ให้เห็นว่า “ตั้งใจเปลี่ยนมารักษ์โลกมากขึ้น”

ถ้าซูมเข้าไปดูว่าคนในภูมิภาคนี้ทำอะไรจริง ๆ บ้าง ภาพที่ออกมาเป็นกำลังชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เกิดจากความพร้อมทางการเงิน แต่เกิดจากความตั้งใจและความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ในการเปลี่ยนมารักษ์โลกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- 57% ตั้งใจลดปริมาณขยะ ไม่ได้ถึงขั้นซื้อของ zero-waste ราคาแพง แค่ “ใช้ให้คุ้ม และทิ้งให้น้อยลง”
- 39% ตั้งใจแยกขยะและรีไซเคิลมากขึ้น ใช้ระบบที่มีอยู่แล้ว ในการคัดแยกขยะแบบพื้นฐาน ไม่ได้ลงทุนซื้อถังแยกขยะแบบหรูหราหรือลงทุนมากมายเพื่อการแยกขยะ
- 32% ตั้งใจซ่อมของแทนการซื้อใหม่ หน้าจอมือถือแตก เปลี่ยนจอแทนซื้อเครื่องใหม่ เสื้อขาดก็เย็บ ซ่อมเก้าอี้แทนทิ้ง
- 29% ตั้งใจเลือกใช้ “ให้น้อยลง” ลดการซื้อของที่ไม่จำเป็นลงจริง ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมรักษ์โลกที่ประหยัดที่สุด
ลองสังเกตดูสิว่าสิ่งที่ “ไม่อยู่ในลิสต์” คืออะไรบ้าง ใช่แล้ว ไม่มีรถ EV ราคาแพง ไม่มี Solar Cells ที่ต้องลงทุนราคาแพงในในการติดตั้ง และสุดท้าย ไม่มีสินค้าออร์แกนิคพรีเมียม ที่รักษ์โลก แต่ราคาแพง จนบางคนอาจจะ “จ่ายไม่ไหว”
เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่อง “อนาคต” แต่คือการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดในวันนี้
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้คนในภูมิภาคเริ่มเดินหน้าต่อการรักษ์โลกมากขึ้น นั่นก็คือ “คือเรื่องภัยธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศ” เพราะ 35% ของคนในภูมิภาคมองว่า “ภัยพิบัติและการรับมือสภาพภูมิอากาศ” คือหนึ่งในสามเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุดของปี 2025 และในไทย ตัวเลขนี้สูงขึ้นถึง 49% และฟิลิปปินส์ ก็สูงขึ้นเช่นกัน โดยอยู่ที่ 45%
สำหรับคนในภูมิภาคนี้ ภัยพิบัติไม่ได้เป็นแค่ข่าวด่วนบนโทรทัศน์หรือ Social Media เพียงเท่านั้น แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชีวิตจริง ทั้งพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า โดยที่หากสังเกตุในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติต่าง ๆ นั้น มักจะเกิดขึ้น “เป็นประจำ” ในภูมิภาคนี้ ทำให้คนในภูมิภาคต่างเตรียมพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ บ่อยครั้งจนกลาย “เป็นเรื่องปกติ” ในชีวิตประจำวัน และเมื่อสิ่งต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว การดูแลสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงอุดมคติ แต่คือเรื่องของเอาตัวรอดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ลดการทิ้งขยะ และการทิ่งขยะเรี่ยราด เพราะเห็นผลกระทบจากการที่ขยะสร้างอันตรายมหาศาลในช่วงที่น้ำท่วม
- ซ่อมของที่เสียหายมากขึ้น แทนที่เลือกจะซื้อใหม่เพียงอย่างเดียว เพราะมีความตระหนักรู้มากขึ้น ว่าทรัพยากบนโลกนี้ใช้แล้วหมดไป ไม่ได้มีใช้อย่างไม่จำกัด
- ลดการบริโภคลง ให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพราะเห็นว่าการบริโภคแบบไม่คำนึงถึงผลกระทบส่วนรวมนั้นสร้างปัญหาให้กับสังคมได้มากแค่ไหน
เมื่อ “รวยกว่า” ไม่ได้แปลว่า “รักษ์โลกกว่า”

เมื่อมองภาพรวมของพฤติกรรมรักษ์โลกเป็นรายประเทศ ตัวเลขก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนอะไรบางอย่างออกมา ให้คุณลองดูตัวเลขด้านล่าง และลองคิดตามเรา
- เวียดนาม: 86% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
- ไทย: 87% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
- ฟิลิปปินส์: 84% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
- อินโดนีเซีย: 84% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
- มาเลเซีย: 70% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
- สิงคโปร์: 59% มีพฤติกรรมรักษ์โลกมากขึ้น
เมื่อคุณสังเกตุที่ตัวเลขพฤติกรรมรักษ์โลกของคนในภูมิภาคแล้ว จะพบว่าสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานะดีที่สุด (เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค) กลับมีอัตราการปรับตัวด้านพฤติกรรมที่รักษ์สิ่งแวดล้อม “ต่ำที่สุด” ในกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ นั่นหมายความว่า “ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม” ไม่ได้แปรผันโดยตรงตาม “รายได้ที่มากขึ้น” แต่กลับตรงกันข้าม เพราะประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า มีแนวโน้มในการปรับตัวด้านพฤติกรรมรักษ์โลกที่มากกว่า เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับ “ผลกระทบโดยตรง” จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้รู้สึกว่า “จำเป็น” ต้องปรับตัว และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม “มากขึ้น” นั่นเอง
หากมองอีกมุม ในด้านการจับจ่ายใช้สอย หรือพฤติกรรมทั่วไป คนในภูมิภาคนั้นมีแนวโน้มที่จะเลือกในสิ่งที่ “จับต้องได้” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

- 43% เปลี่ยนไปใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- 32% ตั้งใจเลือกแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- 39% ปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ที่ปลูกเพื่อกินหรือไม้ประดับ เพราะช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวได้ และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือมีอะไรทำ
ยินดีต้อนรับการกลับมาของ “วัฒนธรรมการซ่อม”
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจ คือ 32% ของคนในภูมิภาคเลือก “ซ่อมของแทนการซื้อใหม่” และในฟิลิปปินส์ ตัวเลขนี้สูงขึ้นถึง 46% โดยทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “วัฒนธรรมการซ่อม” นั้นได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่พฤติกรรมการใช้แล้วทิ้งนั้นเริ่มลดลง เพราะผู้คนเริ่มตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยวัฒนธรรมการซ่อมนั้นมีส่วนช่วยในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- ช่วยลดปริมาณขยะที่จะไปจบลงที่หลุมฝังกลบ
- ช่วยเพิ่มความสำคัญของช่างฝีมือที่มีทักษะการซ่อมให้มากขึ้น
- ช่วยลดความต้องการในการผลิตสินค้าใหม่ ที่มาพร้อม Carbon footprint ในขั้นตอนการผลิต
- ช่วยให้คนในภูมิภาค “ประหยัดเงินในกระเป๋าลง”
ทำไมเทรนด์รักษ์โลก จึง “สำคัญ” ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถ้า 78% ของคนในภูมิภาคนี้ ที่ยังต้องสู้กับค่าครองชีพและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ สามารถปรับตัวมาใช้ชีวิตแบบรักษ์โลกได้ คำถามคือ “แล้วภูมิภาคอื่น ๆ จะยังอ้างอะไรได้อีก”
ผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังท้าทายกับมายาคติที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ว่า “ต้องมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจก่อน ถึงจะมีเวลามาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม” เพราะว่า “ไม่จำเป็นเสมอไป” โดยผลการสำรวจในครั้งนี้ กำลังบอกถึงสิ่งตรงกันข้ามว่า การดูแลโลกไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสินค้าราคาแพง แต่ “การจัดลำดับความสำคัญใหม่” ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของพฤติกรรมการรักษ์โลก
ด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังแสดงโมเดลที่ต่อยอดได้ในระดับโลก เพราะหลายครั้ง “นวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม” อาจไม่ใช่สิ่งที่เราซื้อเพิ่ม แต่อยู่ใน “สิ่งที่เราเลือกไม่ทิ้ง” ต่างหาก เมื่อเดินหน้าสู่ช่วงรอยต่อของปี 2025-2026 กระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่วิถีชีวิตแบบรักษ์โลกของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเกิดขึ้นต่อไป ทั้งในวันที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น และวันที่ค่าครองชีพยังบีบคั้นไม่หยุด
ภูมิภาคนี้กำลังส่งสารให้ทั่วโลกเห็นอย่างชัดเจนว่า การใส่ใจสิ่งแวดล้อมกับการใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดสามารถเดินไปด้วยกันได้ แถมยังไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่ยังช่วยส่งเสริมกันอีกด้วย
ท้ายที่สุด การไปในทางที่ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” อาจไม่ใช่เรื่องของการมีรถไฟฟ้าสุดหรู หรือบ้านติดโซลาร์รูฟ แต่คือการใช้ทรัพยากรอย่างเห็นคุณค่า ลดขยะ ซ่อมสิ่งของที่ยังใช้ได้ และยอมรับว่าโลกไม่ได้สนใจคุณจะรักษ์โลกได้เฉพาะคนรวยเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะใครก็ตาม ต่างก็ “รักษ์โลก” ได้ไม่ต่างกัน
78% ของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าใจเรื่องนี้แล้ว ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ อาจถึงเวลาต้องหันมาใส่ใจ “โลก” ให้มากขึ้นเหมือนภูมิภาคนี้บ้างแล้ว
บทความนี้อ้างอิงจากผลสำรวจ SEA Social Issues 2025 ของ Milieu Insight จากกลุ่มตัวอย่าง 3,000 คนในสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์

Author
Milieu Team
At Milieu, we’re a team of curious minds who love digging into data and uncovering what drives people. Together, we turn insights into stories—and stories into action. We also run on coffee, deadlines, and the occasional meme.
Latest Insights


.avif)
